วันพฤหัสบดีที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ประตูนรกเทพเจ้าพลูโต ( PLUTO'S GATE)


          เมือวันที่ 3 มีนาคม  2556 ได้มีการค้นพบ ประตูนรกเทพพลูโตตามตำนานกรีก ที่ นครโบราณเฮราโพลิส ณ เมืองปามัคเล่ ประเทศตุรกีโดยผู้ที่ค้นพบ เป็นนักโบราณคดี ชาวอิตตาลี    Francesco D'Andria   ซี่งเค้าเชื่อว่า ที่นี่เป็นประตูนรกเทพพลูโตตามตำนานกรีกที่กล่าวถึง เพราะที่นี้มีลักษณะสอดคล้องกับบึนทึก ของ นักภูมิศาสตร์ชาวกรีก  สตาร์โบ ( Strabo ก่อน ศ.ศ. 64/63) ได้บันทึกไว้ว่า  "เมือโยนนกกระจอกเข้าไปทันที่ที่สุดอากาศเข้าพวกมันก็ร่วงลงมา"  นอกจากนี้ ยังมีเสาที่แกะสลักแบบ     กรีกโรมันต้นหนึ่งแกะสลักเกี่ยวกับเทพเจ้าพลูโต
เสาหินกรีกโรมัน ที่สลักเกียวกับเทพเจ้าพลูโต
                  สถานที่นี้นั้นเต็มไปด้วยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์  โดยจะเห็นว่ามีนกและสัตว์มีชีวิตเล็กๆ นอนตายเพราะได้รับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เข้าไป
    
          ตามตำนานที่นี้ใช้เพื่อทำพิธีกรรมในการติดต่อกับวิญญาณ  ผู้คนที่มาทำพิธีที่นี้ สามารถเห็นนิมิตได้ ซึ่งสาเหตุนั่นอาจจะเกิดจากการ สูดดมก๊าซเข้าไปไปในปริมาณมาก (อันตรายของการสูดดมก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์  จะมีการระคายเคือง ปวศรีษะ  เซื่องซึม สั่นกระตุก หายใจติดขัด หมดสติไม่รู้สึกตัว หัวใจเต้นผิดปกติ เนื่อง จากมีฮีโมโกลบินน้อยกว่าปกติ และมีผลกระทบต่อระบบประสาทส่วนกลางและอาจทำให้เสียชีวิตได้)

         
ซากนกที่ตายเนื่องจากได้รับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เข้าไป
บริเวณ pluto's gate



ขันบันไดวิหารที่เชื่อกันว่าใช้นั่งสำหรับเหล่าผุ้ที่มาร่วมงานพิธี
        

         สำหรับนครนครโบราณเฮราโพลิสสร้างขึ้นเมื่อราวปี 190 ก่อนคริสต์ศักราช โดยยูเมเนส ที่ 2 กษัตริย์แห่งเปอร์กามุม ต่อมาพวกโรมันได้เข้ายึดครองในปี 133 ก่อนค.ศ. ในยุคโรมันนั้น เมืองนี้เจริญรุ่งเรืองมาก มีวิหาร โรงละคร ผู้คนหลั่งไหลไปแช่น้ำร้อนซึ่งเชื่อว่ารักษาโรคได้

ภาพใช้โปรแกรมในการจำลองสถานที่




 แหล่งที่มา : http://news.voicetv.co.th





เทพเจ้าพลูโตหรือเฮดีส Hades (Greek)  Pluto (Roman)

               เทพเจ้าพลูโต หรืออีกชื่อหนึงเรียกรู้จักกันในนามเฮเดส ป็นโอรสของเทพโครนัส (Cronus) และ เทพีรีอา (Rhea) เป็นพี่น้องกับเทพเจ้าซูส และโพโซดอน ปกครองอยู่ยมโลก เลยได้ขื่อว่าเทพเจ้าแห่งความตายและด้วยความที่อยู่ใต้ดินผู้คนจึงเรียกว่า เทพแห่งทรัพย์ด้วย เพราะเค้าถือกันว่า ทรัพย์สิน เช่น ทองและเงินนั้นล้วนขุดขึ้นมาจากใต้ดินนั่นเอง ทพเจ้าพลูโตนั้นเป็นเทพที่มีความยุติธรรมอย่างมาก ซึ่งตัดสินความดี - ความชั่วของคนตาย


เทพเจ้าพลูโต และ สุนัขสามหัว เซอเบอรัส  ที่เฝ้าประตูยมโลก

 ความเชื่อโลกหลังความตายกรีก-โรมันโบราณ

                ตามความเชื่อของกรีกและโรมันโบราณ คือเมื่อคนคนหนึ่งได้ตายไป จะต้องผ่านแม่น้ำสติกซ์ ( styx) โดยวิธีการที่จะข้ามผ่านไปได้ นั่่นก็คือการนั่งเรือพายข้ามผ่านแม่น้ำนี่ไป ( โดยหนังหลายเรืองที่เกี่ยวกับตำนานเราอาจจะพอผ่านตากับฉากนี้ไปบ้าง)โดยผู้ที่พายเรือนี้มีชื่อว่า  Charon 
โดยผู้ตายจ่ายเป็นเหรียญทอง 1 เหรียญ เรียกว่า  ดานาเก้ หรือ นูลอน ให้เป็นค่าจ้าง ซึ่งเหรียญนี้จะได้มาจาก เมื่อมีคนตายไป ทางญาติจะใส่เหรียญทองนี้ไว้ที่ปากของผู้ตาย(น่าจะคล้ายๆ กับของไทยเรื่องเงินปากผี ) ว่ากันว่าสำหรับคนตายที่ไม่มีญาติทำศพให้จะต้องรอจนครบ 100 ปีถึงจะสามารถนั่งเรือฟรี เพื่อไปตัดสินความผิดของตนได้



charon ขณะนำเหรียญทองออกจากปากวิญญาณเพือเป็นค่าจ้างพายข้ามแม่น้ำสติกซ์


               เมื่อข้ามผ่านแม่น้ำมาแล้ว สิ่งแรกที่ต้องเจอก็คือประตูที่มีสุนัขสามหัว เซอร์เบอรัส  (cerberus  อังกฤษ หรือ เคอร์เบอรอส (Kerberos กรีก ) แปลว่า ปีศาจในหลุม เฝ้าอยู่ โดยคนที่ตายไปแล้วเท่านั้นจึงจะสามารถผ่านประตูนี่ไปได้ แต่ก็ไม่สามารถกลับออกมาได้อีกเช่นกัน  ซึ่งจุดหมายปลายทางของคนตายก็คือ การพิจารณาตัดสินโทษ และคุณงามความดีนั่นเอง  โดยผู้ตัดสินโทษ คือ Rhadamanthus , Minos และ Aeacus


Rhadamanthus , Minos และ Aeacus

                  สำหรับคนที่ทำความผิด บาปนั้นจะถูกส่งไปยัง  Tartarus  ( ทาร์ทารัส แปลว่าสถานที่ลึก) เป็นดินแดนเอาไว้คุมขังและทรมาน สำหรับคนที่ทำบาปและสำหรับคนทำความดีนั้นก็จะได้มีความสุข และสุขสบายชัวนิรันด์ที่ อีลิเซียม (Elysium)  และสำหรับวิญญาณที่ไม่มีความดี และความเลวนั้นจะถูกส่งไปอยู่ที่ทุ่งแอฟโฟเดียน

วันพฤหัสบดีที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2556

300

สำหรับคนที่เคยดูหนัง  300 ตอนนี้กำลังจะกลับมาแล้วอีกครั้ง 




        หนังเรื่องนี้ อิงข้อมูลมาจากจากประวัติศาสตร์เมื่อ 481 ปีก่อน ค ศ โดยเนื้อหาของหนังได้กล่าวถึงความกล้าหาญของทหารชาวสปาร์ตา  300 นาย   เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อกองทัพเปอร์เซีย ซึงนำโดยกษัตริย์เซอร์ซิสได้ยกพลจำนวนหลายแสนคนเพื่อมาทำสงครามกับกรีก ผ่านมาทางมาซิโดเนีย   ด้วยเหตุการณ์นี้เองทำให้รัฐต่างๆ ต้องจับมือกันเพื่อผนึกกองกำลังในการต่อต้านชาวเปอร์เซีย

         สำหรับชาวสปาร์ตา กับชาวเอเธน นั้นต่างก็ไม่ค่อยจะชอบพอซึ่งกันเท่าไหร่  เพราะเมื่อครั้งที่ชาวเปอร์เซียเข้ามาทำสงครามครั้งแรกนั้น นำโดยกษัตริย์ดาริอุส ( เป็นพระบิดาของกษัตริย์เซอร์ซิล)  ชาวเอเธนนั้น ได้ส่งพลนำสารมาจากเมืองมาราธอน ขอกำลังจากทางสปาร์ตาเพื่อให้ไปช่วยในศึกครั้งนี้ แต่เนืองจากขณะนั้นตรงกับเทศกาลคาเนียน ทางสปาร์ตาจึงแจ้งว่าไม่สามารถส่งกองกำลังไปช่วยได้       แต่ในที่สุดชาวเอเธนก็ชนะในศึก และได้การชื่นชมจากสาธารณรัฐอื่น  จากเหตุการณ์นี้ทำให้เกิดการวิ่งมาราธอนขึ้น  ( แต่เรืองเล่านี้มันก็ยังมีข้อขัดแย้งกันอยู่)


               เทศกาลคาร์เนียน  เป็นเทศกาลเพื่อบูชาเทพเจ้าอะพอลโล่ (เทพเจ้าแห่งดวงอาทิย์ ) เทศกาลนี้ ชาวสปาร์ตาจะเฉลิมฉลองเทศกาลภายในบ้านไม่ออกรบหรือทำสงครามใดๆทั้งสิ้น

เทพอพอลโล่


         กลับมาเข้าเรื่องราวของหนังของเราต่อนะคะ   เมื่อกองกำลังจากทางเปอร์เซียยกพลเข้ามายัง
กรีกทำให้ทางเอเธน  สปาตันและนครนครรัฐอื่นๆ ต้้งกองกำลังแบบผสมขึ้นมาเพื่อรวมต่อกันต่อสู้กับ
ทหารชาวเปอร์เซีย  ซึ่งกองกำลังที่จัดตั้งนี้ จัดตั้งกันอย่างเร่งด่วนและไม่ได้เตรียมการมาก่อน ทำให้
มีจำนวนทหารที่เข้ารวมไม่มาก  เมื่อเทียบกับทหารของเปอรร์เซีย

            โดยจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญที่หนังได้กล่าวถึง ก็คือ ช่องเขา “เทอร์โมพีเลีย” (Thermopylae)
โดยผู้นำทัพทหารสปาร์ตา ก็คือกษัตริย์“เลโอไนดาสที่ 1” (Leonidas I)   ถึงแม้ว่ากองกำลังเปอร์เซีย
จะมีมากกว่ากันหลายเท่า แต่ด้วยว่า พื่นที่นั้นเป็นทางแคบ ทำให้กองกำลังที่เข้าไปนั้นถูกบีบ และง่ายต่อการถูกโจมตี  และด้วยที่ว่าชาวสปาร์ตาทุกคนนั้นถูกฝึกให้รู้จักการต่อสู้มาตั้งแต่เด็ก ก็ทำให้มีฝีมือทางด้านการรบ


http://en.wikipedia.org/wiki/File:Leonidas_I_of_Sparta.jpg
King  Leonidas I  


            ในที่สุดกองทัพสปาตันก็พ่ายแพ้ให้กับทางกองทัพเปอร์เซีย เพราะถึงแม้ว่าจะเก่งเพียงใด
แต่ด้วยกองกำลังที่มีไม่มากก็ทำให้กองกำลัง 300 นายต้องเสียชิวิต  ณ ที่นี้นั้นเอง หลังจากนั้นกองทัพชาวเปอร์เซียได้ผ่านทางช่องเขานี้เข้าไปตีนครเอเธน และนครอื่นๆ อีก

          และหลังจากนี้ กรีก จะเป็นยังไงต่อไปก็คงจะต้องติดตามชมกันต่อในภาคที่จะมาในเร็วๆ นี้



http://www.squidoo.com/the-300-spartans-of-thermopylae


กรีกโบราณในสมัยก่อนมีปกครองแบบสาธารณรัฐ
มีรัฐหลายแห่งมารวมตัวกัน  เช่น เอเธน, สปาร์ตาร,  ทีบิส, คอรินธ์,  ไมลิตัส,  เมการา และรัฐอื่นๆ

                 โดยหนังเรืองนี้ กล่าวถึงชาวสปาร์ตา  ซึ่งมีเชื้อสายมาจากชาวดอเรียน ( dorians)
ตั้งอยุ่ในแคว้น Laconia  บนแหลม พิโลพอเนซัส  ซึ่งเกิดมาเพื่อเป็นนักรบ โดยจากในหนังเราจะเห็นว่า
มีการคัดกรองกันตังแต่เด็ก โดยเด็กที่เกิดมาไม่สมบุรณ์ก็จะถูกทำลายทิ้ง และสำหรับเด็กผู้ชายเมื่อ
ครบอายุ7 ปี ก็จะต้องจากครอบครัวเพือไปฝึการต่อสุู้

                สาเหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะเนื่องจากสปาร์ตาจัดเป็นรัฐที่เป็นการปกครองแบบทหาร สำหรับคนที่เคยดูหนัง จะจำกันได้ดีในตอนหนึงที่กษัตริย์เลโอไนดาส ถามทหารฝ่ายพันธมิตรว่าทำอาชีพอะไรมา หลายคนก็ตอบว่าทำอาชีพ อื่นๆ มาที่ไม่ใช่ทหาร แต่สำหรับชายชาวสปาร์ตาทุกคนล้วนเกิดมาเพื่อเป็นทหาร   ( ถ้าใครทีได้ดุหนังคงไม่แปลกใจที่ ชาวสปาร์ตา 300 คนจะสู้สมชายชาติทหารและ สำหรับคนที่ชอบกล้ามซิตแพคก็คงจะปลื้มไม่น้อย เพราะเค้าจัดเต็มกันจริงๆ เลย 555)

http://hqwalls.org/view-300_wallpaper_hd_wide_2-1920x1080.html




การปกครองของสปาร์ตา แบ่ง ออกเป็น 4 ส่วน

1. กษัตริย (The King)  เป็นผู้นำทางศาสนาและเป็นแม่ทัพในการรบ
2. สภาที่ปรึกษา (The Council)  เป็นบุคคลที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป มีหน้าที่ให้คำปรึกษาและตุลาการ
     สภาราษร
3. สมัชชาประชาชน เป็นบุคคลที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป ทำหน้าที่พิจารณาข้อเสนอของกษัตริย์ หรือ เอเฟอร์
    ในเรื่องสงครามและการสืบตำแหน่งกษัตริย์
4. เอเฟอร์  (Ephors) เมีจำนวน 5 คนทำหน้าที่รักษาสิทธิ์ของประชาชน และการดูแลปฏิบัติงานของ  
    กษัตริย์มีความสำคัญที่สุดในการปกครอง  โดยอยู่ดำรงตำแหน่งได้ 1 ปี และสามารถเข้ารับเลือก
    ได้อีกโดยไม่มีกำหนด


สำหรับสปาร์ตานั้นเป็นรัฐที่มีความเคร่งครัดในการปกครองแบบทหารมาก โดยพลเมืองทุกคนนั้นถือว่าเป็นสมบัติของรัฐ  ในขณะที่รัฐอื่นๆ นั้นจะปกครองรูปแบบประชาธิปไตย จึงทำให้เมืองนี้ไม่ได้มีการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกับรัฐอื่นๆ จึงไม่มีความเจริญในด้านศิลปะ หรือ ในด้านอื่นๆ เลยนอกจากด้านทหาร


นี่เป็นข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ ที่ค้นหามาได้ หวังว่าทุกคนคงจะชมหนังเรื่องนี้ได้มีอรรถรสมากยิ่งขึ้นนะคะ
 

วันศุกร์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2556


โกเบ็คลิ  เทเป  (Göbekli Tepe)




               เป็นชื่อเนินที่อยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเมือง Şanlıurfa  (เดิมชื่อ Urfa / Edessa)ในปี ค.ศ 1964 มีการสำรวจโดยมหาวิทยาลัยอิสตันบูและชิคาโก เนื่องจากว่าลักษณะของยอดเขาดูไม่น่าจะเกิดจากธรรมชาติ  โดยแต่เดิมที่นักสำรวจคาดการว่าอาจเป็นสุสานโบราณของชาว byzantine  เพราะมีแผ่นหินลักษณะเหมือนเครื่องหมายของหลุมฝั่งศพ ซึ่งจากการตรวจสอบอายุโดยใช้วิธีคาร์บอนเดทติงให้ผลว่า โกเบ็คลิ เทเป มีอายุราว 12000 ปี  หรือ อาจจะสร้างขึ้นในช่วงปี 10000 - 9000 ปี จัดว่าเป็นสิ่งก่อสร้างโดยฝีมือของคนของคนยุคหินกลาง  ( โดยเค้าจะแบ่งเป็น 3 ช่วงสำหรับยุคหิน คือ 1. ยุคหินเก่า 1,700,000-10,000 ปีก่อนปัจจุบัน 2. ยุคหินกลาง ยุคหินกลาง  10,000-5,000 ปี  และ 3 ยุคหินใหม่  5,000-2,000 ปี   )  ซึ่งผู้คนในยุคนี้เริ่มรู้จักทำเครื่องมือหินให้ปราณีตและรู้จักการทำเครื่องปั้นดินเผาแล้ว
การขุดสำรวจ โกเบ็คลิ  เทเปhttp://hist105-2010fall.blogspot.com

KLAUS SCHMIDT


                ในปี คศ  1994   นักโบราณคดี นำทีมโดย KLAUS SCHMIDT นักโบราณคดีชาวเยอรมัน  ได้ทำการสำรวจที่แห่งนี้และพบว่ามันไม่ใช่สุสานโบราณอย่างที่คาดการณ์ไว้ในตอนแรก เพราะหลังจากที่มีการขุดก็พบว่าลักษณะของที่แห่งนี้เป็นรูปวงแหวนอาคารทรงกลมที่มีกำแพล้อมวงเป็นวงซ้อนๆ กันหลายวง  แต่ละอาคารมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 10-30 เมตรและมีแผนฝังเหมือนกันคือเสารูปตัว T ปักเรียงเป็นวงกลมในแตละชั้นเสามีความสูง 4 เมตร ปักห่างในระยะเท่าๆกันตามผนังอาคารโดยเอียงข้างเข้าด้านใน จำนวนมากที่สุดคือ 8 ต้นในแต่ละวงโดยมีที่นั่งยาว ติดผนังระหว่างเสาแต่ละต้น

ภาพแสดงการก่อสร้าง
 http://science.nationalgeographic.com

ภาพแสดงวิธีการก่อสร้าง
ที่มา http://www.bermudaquest.com/




         ภายในอาคารชั้นในสุดมีเสาหินกลางห้องสองต้นลักษณะเดียวกันกับเสาด้านนอกแต่ใหญ๋กว่า
สูง 6 เมตร โดยการขุดค้นที่ผ่านมาพบอาคาร 4 อาคาร  แต่โดยการสำรวจโดยเรดาห์พบทั้งสิ้น
ประมาณ 20 อาคาร ( คาดว่าน่าจะขุดค้นกันไปอีกหลายปีเลยทีเดียว สำหรับสถานที่แห่งนี้) 
เสาหินรูปตัวที  ทำมาจากหินปุนตกผลึก โดยพบเหมืองที่ห่างไปประมาณ 100 เมตร ที่เค้ารู้ว่า
เสามาจากเหมืองแห่งนี้เพราะว่ายังพบเสาทียังไม่เสร็จ    สำหรับที่นี้ต้องขอบอกว่า สร้างความ
มหัศจรรย์ให้กับผู้ที่ค้นพบอย่างมาก เพราะต้องเข้าใจว่าในยุคนั้นมนุษย์มีเครืองมือที่ทำมาจากหิน
เท่านั้น กว่าจะตัดทำเสาเป็นรูปตัว T หรือแกะสลักได้ ไม่ใช่เรืองง่ายๆ เลย  โดยเค้าคาดการณ์กันว่าอาจจะต้องอาศัยแรงงาน อย่างน้อย 500 คนและมีจุดมุ่งหมาย โดยชมิดท์ เชื่อว่าที่นี่อาจจะเป็นที่ทำพิธี
เกียวกับความตาย แม้ว่าการขุดค้นยังไม่พบศพที่ถูกฝังก็ตาม โดยเค้าเชื่อว่าการสลักรูปสัตว์ที่เสารูป
ตัว T ก็เพือปกป้องวิญญาณของคนตาย  และที่นี่อาจจะเป็นทีชุมนุมเฉลิมฉลอง โดยเค้าคาดเดาจากที่นังติดผนัง นอกจากนี้ยังค้นพบกระดูกสัตว์ป่าจำนวนมาก โดยกระดูกที่พบแตก คล้ายกับการถูกทุบเพื่อนำไขกระดูก แต่อย่างไรก็ตามไม่ค้นพบอุปกรณ์ในการทำอาหาร

ภาพการวางเรียงกันของเสารูปตัว T และม้านั่งติดผนัง
http://maxlab.ca

                 ที่นี่้ได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการจัดหาอาหารเลี้ยงผู้คนที่มีจำนวนมากได้  แน่นอนว่า การล่าสัตว์หรือการเก็บของป่าไม่เพียงพอกับความต้องการ ตรงนี้ถือว่ามีความสำคัญเพราะจากเดิมที่มีความเชือกันว่าการรวมกลุ่มกัน  ลัทธิความเชื่อต่างๆ หรือการรู้จักสถาปัตยกรรม นั้นจะต้องเกิดภายหลังจากการที่มนุษย์รู้จักการเพาะปลูก ล่าสัตว์เสียก่อน ( คือมนุษย์ต้องมีปัจจัยขั้นพื้นฐานคือกินอิ่มก่อนนั่นแหละ  แต่อิ่มมากไปก็อยากนอน ออกแนวขี้เกียจละเรา ^^!! ) ตรงนี้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในด้านความเชื่อในการพัฒนาของสังคมมนุษย์ เพราะที่นี้ได้แสดงให้เห็นว่ามนุษย์ได้มีการรวมกลุ่มกันและมีระบบจัดการที่ดี ทำให้สร้างถาวรสถานที่ที่ยิ่งใหญ่อย่าง โกเบ็คลิ เทเปได้

เสาหินรูปตัว T ที่มีการแกะสลักรูปสัตว์ต่างๆ
http://hist105-2010fall.blogspot.com

เสาหินตัว T ที่มีการแกะสลักรูปสัตว์
http://hist105-2010fall.blogspot.com
               ชมิดคาดว่าที่นี่อาจจะเป็นลัทธิที่นับถือผีสางเทวดา โดยมีหมอผีเป็นผู้เชื่อมโยงกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์  ทั้งอาจจะเป็นต้นแบบของลัทธิศาสนาในเมโสโปเตเมียในการต่อมา แต่ก็มีผู้เสนอในแนวคิดอื่นเช่น อาจจะเป็นลัทธิบูชาสัตว์ร้าย ต่างๆ ที่อยุ่ในงานแกะสลัก  และการบูชาเพื่อความอยู่รอดและความแน่นแฟ้นกันในชุมชน   อีกข้อสันนิษลานหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ ว่ากันว่าที่แห่งนี้ อาจจะเป็นสวนอีเดน ในคัมภีร์ไบเบิ้ล  เพราะเชื่อกันว่า ดินแดนทีอุดมสมบูรณ์ตั้งอยู่ในจุดบรรจบของแม่น้ำสี่สาย  น่าจะเป็นดินแดนรูปเสี้ยววงเดือนอันอุดมสมบุรณ์ระหว่างลุ่มน้ำไทกรีส - ยูเฟรติส อู่อารยธรรม ซึ่งบริเวณตะวันออกเฉียงใต้หรือเขตเมโสโปเตเมียมตอนบน ก็รวมอยู่ด้วย

                   ไม่ว่าข้อเท็จจริงจะเป็นเช่นไรสำหรับ โกเบ็คลิ เทเป ก็ได้พิสูจน์แล้วว่า ด้วยความมุ่งมั่น และศรัทธา ทำให้มนุษย์สามารถทำอะไรที่ยิ่งใหญ่ได้เสมอ
           
          
แหล่งข้อมูล  หนังสือต่วยตูน ฉบับ453
                     http://en.wikipedia.org/wiki/G%C3%B6bekli_Tepe



  

วันอังคารที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

เสื้อผ้าการแต่งกายงจักรวรรดิออตโตมัน
(Ottoman Empire)  ค.ศ.1299–1923


เกิดนึกสงสัยด้วยความอยากรู้ของเราเอง  ว่าผู้คนสมัยนั้นเค้าแต่งกายยังไงเลยค้นข้อมูลการแต่งกาย
ก็เลยไปเจอข้อมูลมา


           สิ่งทอและการเย็บปักของจักรวรดิออโตมันมีอิทธิพลไม่เพียงแต่ในภูมิภาคที่เป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิออตโตเท่านั้นแต่ยังแพร่หลายไปในพื้นทีต่างๆด้วย   โดยการทำไม่ได้จำกัดเฉพาะผู้ที่ทำอาชีพนี้เท่านั้น ยังรวมไปถึงกลุ่มแม่บ้าน  เป็นอุตสาหกรรมครัวเรือนผลิตออกมาซึ่งเป็นที่ต้องการอย่างมากของตลาด

           นอกจากการขายภายในประเทศ ยังมีส่งออกไปขายยังแถบคาบสมุทรบอลข่าน (ดินแดนทางตะวันออกเฉียงใต้ของทวีปยุโรป )  ฮังการี่ และทรานซิลเวเนีย


แสดงวิธีการทำลวดลายผ้า


 Kaftan 

           เป็นเสื้อติดกระดุมด้านหน้า หรือสวม ยาวไปจนถึงข้อเท้า  แขนเสื้อยาว โดยทำจากผ้าขนสัตว์แคชเมียร์, ผ้าไหม, ผ้าฝ้าย  โดยอาจใช้ผ้าคาดเอวทับอีกที  สามารถบ่งบอกถึงฐานะของผู้ส่วมใส่ได้เป็นอย่างดี

Kaftan ของ Sultan Murad III (1574-1595)
เป็นรูปทิวลิปสีเงินขนาดใหญ่บนผ้าแพรสีแดง

Kaftan - เป็นของสุลตาน ใน ปี ค.ศ 16

KAFTAN  -  ในยุคกลางปี ค.ศ 16-17  ผ้านำเข้าจากอิตตาลี ลายทิวลิป

ลวดลายผ้า


ลวดลายผ้าแบบต่างๆ
ลวดลายผ้าแบบต่างๆ

ลวดลายผ้าแบบต่างๆ







การแต่งกายของผู้หญิงจักรวรรดิออโตมัน


ภาพถ่ายประมาณ ต้นปี ค.ศ 19   ที่มา  http://ngm.nationalgeographic.com/ngm/flashback/0210.html

การแต่งกายผู้หญิงชนชั้นสูง ในปี ค.ศ 1869
ที่มา 
http://www.photographium.com/turkish-lady-istanbul-1869


ภาพถ่าย การแต่งกายของผู้หญิงชนชั้นสูง ในจักรววรดิออโตมัน  ต้นปี ค.ศ 18
ที่มา
   http://www.flickr.com/photos/ssndr/7372023110/sizes/z/in/photostream/

ภาพวาด เด็กสาวชนชั้นสุง จักรวรรดิออโตมัน
 
by Lord Frederic Leighton (1830-1896)
. ที่มา  
http://www.flickr.com/photos/ssndr/7371853566/in/photostream/

ภาพวาดการแต่งกายของหญิงชนชั้นสุง ในปี ค.ศ 1784-1839
ที่มา http://digitalgallery.nypl.org







ชุดเจ้าสาว
     ชุดเจ้าสาวในเมืองต่างๆของประเทศตุรกี มีลักษณะที่คล้ายกันกับชุดที่เรียกว่า  'Kaftan ' ซี่งคล้ายคลึงกันกับชุดเจ้าสาวในอาเลปโปและดามัสกัสในซีเรีย  เช่นเดียวกับในเมืองปาเลสไตน์ในกรุงเยรูซาเล็มและจาฟฟา  และแม้ในขณะที่ไกลที่สุดเช่นที่เมืองโมร็อกโกและแอลจีเรีย เครื่องแต่งกายบริเวณคาบสมุทรบอลข่านและภาคใต้ของรัสเซียทีก็ได้พัฒนามาจากสไตล์นี้  ซึ่งมีความคล้ายคลึงกันในรูปแบบและลวดลาย  สามารถพบได้ที่ไกลออกไปในภาคเหนือของไนจีเรียและมอร์ทาเนีย  สำหรับตุรกีจะเรียกชุดแบบนี้่ว่า "Bindalli"  (meaning a thousand branches-hence the flower and branch motives)
ซึ่งทำจากผ้ากำมะหยี่

Ankara- ชุดเจ้าสาว ใน ค.ศ 19

Kutahya - ผ้าคลุมผมเจ้าสาว


Adapazari - ชุดเจ้าสาว


Izmir  - ชุดเจ้าสาว


การแต่งกายของทหารในยุคออโตมัน
แหล่งที่มา http://www.balkanhistory.com/tunisia.htm


การแต่งกายของทหารจักรวรรดิออโตมัน

การแต่งกายทหารจักรววรดิออโตมัน
  
แหล่งค้นคว้าข้อมูล
https://pinterest.com/didemdulger/ottoman-textile-kaftan/
http://olions.wordpress.com
http://www.algeria.com/forums/womens-corner/15661-turkish-traditional-bridalwear.html




วันจันทร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2556

หอคอยกาลาตา (GALATA TOWER)




            หอคอยกาลาตาร์ สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1348 สร้างขึ้นในยุคไบเซนไทน์ มีความสูง 66.9 เมตร
 เส้นผ่าศูนย์กลาง16.45 เมตร   หลังคาเป็นรูปทรงกรวย และก็ได้มีการปรับเปลี่ยนบ้างในช่วงที่บูรณะในภายหลัง  ซึงในขณะนั้นจัดว่าเป็นหอคอยที่มีความสูงที่สุดในเมือง( สูงมากขนาดว่าวิศวกรชาวออโตมัน
ได้ใช้เครื่องร่อนไปไกลถึง 3 กม. ข้ามช่องแคบบอสฟอรัส ในปี  1633) โดยจุดประสงค์ในการสร้าง
หอคอยแห่งนี้ก็เพื่อใช้สังเกตการณ์



ที่มาของภาพ  http://www.planetware.com/map/galata-tower-map-tr-tr16.htm

          ในปี ค.ศ. 1453 ฝ่ายออโตมันยึดครองเมืองนี้ ได้เปลี่ยนชื่อจาก "กรุงคอนสแตนติโนเปิล" เป็น "อิสตันบูล" มาจนถึงปัจจุบัน  และในทางประวัติศาสตร์ยังได้ถือว่าการสิ้นสุดของจักรวรรดิไบแซนไทน์ เป็นจุดสิ้นสุดยุคกลางในยุโรปอีกด้วย   ซึ่งทางฝ่ายออโตมันก็ได้ใช้หอคอยแห่งนี้เพื่อสังเกตุการณ์ในเวลาที่เกิดไฟไหม้ขึ้น   ในปี ค.ศ.1794 สมัย Sultan Selim III หลังคาของอาคารที่ทำจากตะกั่ว กับไม้ และบันไดได้รับความเสียหายและเกิดไฟไหม้อีกหลายครังทำให้หลังคาเสียหายมาก ก็มีการบูรณะ
ซ่อมแซมกันมาบ้าง ภายหลังจากที่ได้เปลี่ยนมาเป็นสาธารณรัฐตุรกี,  ในปี ค.ศ 1960 ได้บูรณะคร้งใหญ่ โดยเปลี่ยนโครงภายสร้างภายในเป็นคอนกรึตมาแทนที่ไม้  และก็เปิดบริการให้ประชาชนเข้าไปชม
        
       ปัจจุบัน สามารถเข้าไปเยี่ยมชมได้ทุกวันตั้งแต่ 9.00 - 19.00 โดย ซื้อตั๋วก่อนเข้าชม ( ไม่รู้ราคานะคะ ตอนที่ไปคนเยอะมาก เลยไม่ได้รอชม )   หอคอยนี้สามารถมองเห็นได้กว้าง จัดว่าเป็นจุดชมวิวที่ดีทีสุดเลยทีเดียว  ภายในหอคอยจะมีลิฟท์บริการ หรือจะเลือก เดินขึ้นบันได ( หลายร้อยขั้น )   นอกจากนี้ภายในยังร้านอาหาร และเครื่องดืมไว้บริการ ที่ชั้นบนสุด

แหล่งที่มาของภาพ http://www.galatatower.net

ภาพประกอบจากอินเตอร์เนท
ภาพประกอบจากอินเตอร์เนท

แม้แต่นกก็ยังมาชมวิวรอบๆ อิสตันบู

    ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ท





วันอาทิตย์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2556

อุโมงเก็บน้ำเยเรบาทัน ( Yerebatan Sarnici )


ช่องจำหน่ายตั๋วจะอยู่ทางด้านขวามือเมื่อคุณเดินเข้าไป 
ซึ่งจุดจำหนายเดียวกันทั้งนักท่องเที่ยวและคนตุรกี

ค่าเข้าชม สำหรับนักท่องเที่ยว  ราคา 10TL
ค่าเช้าชม สำหรับคนตุรกี   ราคา 5 TL  
( บัตรสีฟ้าที่ซื้อในราคา 30 TL  ไม่สามารถใช้ร่วมรายการได้) 

ถูกสร้างขึ้นในสมัยจักรพรรดิ์จัสติเนียน ปี ค.ศ 532    เพือเก็บน้ำสำรองในยามที่
ถูกข้าศึกปิดล้อมขนาดของมัน ก็ใหญ่โตเชียวละ เพราะสามารถจุน้ำได้
ถึง  80000 ลบ.ม    ขนาด กว้าง 64.6  x ยาว  138 เมตร   มีเสาจำนวน 336 ต้น
แบ่งออกเป็น 12 แถว   แถวละ 28 ต้นความสูงของเสายาว 9 เมตร 

ทำภาพมาประกอบให้ดูการจัดวางเรียงเสา


                ภาพถ่ายภายใน ซึ่งข้างในจะมืดๆ อากาศชื้นๆ หน่อย ถ้าเป็นหน้าหนาว
จะหนาวมาก  แต่ช่วงที่ไปก็หนาวพอสมควร เสาแต่ละต้น เค้าจะมีการจัดแสงไฟ
ภายใน ( ซึ่งนักท่องเที่ยวก็ได้แสงนี้แหละ ที่ทำให้มองเห็นทาง )  หลังคามีลักษณะ
โค้งมนเป็นรูปโดม


                  ที่นี่จะใช้เก็บน้ำที่ผ่านมาตามท่อ โดยลำเลียงน้ำจากแหล่งน้ำที่ห่างออกไป ใก้ลกับทะเลดำ
ถูกสร้างโดยแรงงาน จากทาสจำนวน 7000 คน  ( เยอะนะถ้าเป็นสมัยนี้จ่ายค่าแรงเป็นลมเลยDead)
สำหรับคนที่เคยส่งสัยอย่างเราว่าทำไม เสามันไม่เหมือนกันซะทีเดียว มีแปลกแตกต่าง
ออกไปบ้าง ต้องขอบอกว่าบางเสา ก็นำมาจากอาคารที่อื่นซึ่งพังแล้วเค้าก็เก็บมาทำเป็นเสา
มันก็เลยแตกต่างกันนั่นเอง ( คำถามคือทำไมเค้าจะต้องรีบสร้างขนาดนั้น ไม่ทำเสาใหม่ 
ว่าแล้วก็สงสัยต่อไป


"Peacock-Eyed" เสาตานกยูง  

เสานี้ก็มีคนให้ความสนใจมาจับ มาดู ถ่ายรูปเป็นจำนวนมาก  

       หลังจากที่อาณาจักรออโตมันเข้ามาปกครอง ก็ทำให้ที่นี้ไม่ได้ใช้งานต่อและปิดร้าง

(ความเห็นของเรา เนื่องจากว่าชาวอาณาจักรออโตมันเป็นชาวทะเลทราย  ซี่งเร่รอนไป
โน่นนี่ เค้าถึงไม่ค่อยคิดเรื่องการจัดการน้ำแบบชาวโรมัน เพราะเค้าก็มีวิธีการในแบบที่
เหมาะกับการเดินทางของเค้า ซึ่งต่างชาวโรมัน ที่อ่านเจอเค้ามีชื่อเสียงมากเกียวกับ
ระบบการจัดการน้ำ  ไม่ว่าจะเป็นการสร้างท่อลำเลียงจากแหล่งน้ำจืดและการสร้างที่เก็บน้ำ 
ก็อย่างที่เราเห็นที่นี่มันใหญ๋โตจริงๆ  )

         ศ.ค. 1545  ชาวฝรั่งเศส ได้ค้นพบอุโมงค์นี้  จึงได้ใช้ที่นี้อีกครั้งเพื่อเก็บน้ำสำหรับใช้
ที่พระราชวังทอปกาปิในปี ค.ศ. 1985  ได้ทำความสะอาดครั้งใหญ่ และเปิดให้ผู้ชมเข้าชม 
ครั้งแรกในวันที่ 9 กันยายน ปี ค.ศ.1987  (น่าจะทำความสะอาดใหญจริง 2 เกือบ 2 ปี เลยทีเดียว)

 เนื่องจากว่าเป็นที่เก็บน้ำอยุ่ใต้พื้นดิน ก็มีบ้างที่จะมีน้ำหยดมาโดนนักท่องเทียว 
ประกอบกับที่มืด คาดว่าถ้าไม่มีที่บังอันนี้นักท่องเที่ยว คงลื่นหน้าคมำ กันหลายคนอยู่นะ

           คำพูดที่ว่า ในน้ำมีปลา  ในนามีข้าว สำหรับที่นี้  เมื่อมีน้ำก็ย่อมมีปลาเช่นกัน   
ว่ายกันตัวอ้วนเลย น่ากิน จริงๆปลาก็มีหลายพันธ์อยู่  ( แต่อย่าให้บอกว่าพันธ์
ไหนเพราะว่าไม่สันทัดเรืองนี้จริงๆ  แต่เห็นที่รู้จักก็มีปลาคราฟ ปลาเงิน ปลาทอง) 
ว่ายกันสบายใจ ที่เห็นบางคนเค้าก็มีโยนเหรียญลงไปด้วย  (ก่อนกลับว่าจะลงไป
งมเหรียญสักหน่อย )  สำหรับตรงนี้ไม่กล้าใช้แฟลตเวลาถ่ายปลาเพราะว่า กลัวมัน
จะกระทบกับเค้าเพราะอยู่ที่มืดๆ แบบนี้ เลยได้ มาสลัวๆ หน่อยนะคะ  


แต๊น แต๊นนนน แต๊นนนนนน และในที่สุด ก็ถือ นางเอก ของที่นี้ ซึ่งทุกคนมุงดู
และให้ความสนใจขนาดที่ว่า ถ้าคุณถ่ายรูปต้องรีบถ่ายและรีบออกมิฉนั้น อาจจะเหลือบ
ไปเห็นสายตาหลายคุ่มองดูด้วยความไม่พอใจ (  ต้องแบ่งๆ กันถ่ายนะค่ะ)

คือเสาที่มีหัวเมดูซา  สองเสา มีทั้งเสาที่เป็นแบบตะแคง 
และเสาหัวกลับ  ที่เค้าสันนิฐานกัน ที่ต้องทำแบบนี้เพราะ ตามตำนาน กล่าวว่าเมื่อใครก็ตามมอง
ตาเมดูซาก็จะกลายเป็นหิน ( ไม่ต้องทำรูปปัันหลังตายเลยเพราะกลายเป็นหิน ) 







Medusa


    เมดูซ่า เมื่อใครนึกถึงชื่อนี้ ก็ต้องนึกถึงผู้หญิงที่มีงูอยู่บนหัวเต็มไปหมด โหดร้าย
แต่ตามตำนาน เค้าว่า เมดูซ่า เป็นหญิงสาวที่หน้าตางดงามมาก เธอมีพี่น้องสามคน
สามพี่น้องตระกูลกอร์กอน โดยเธอเป็นคนสุดท้อง
     วันหนึ่งเธอได้ไปยังวิหารของเอเธน่า   และด้วยความสวยของเธอนี้เอง  ทำให้เธอได้ถูก
เทพโพเซดอน( เทพแห่งท้องทะเล ) ข่มขื่นในวิหาร เพราะต้องการครอบครองนางให้เป็นของตน
 ( ความสวยบางทีก็เป็นภัยกับตัวเองเหมือนกัน  )  เหตุการณ์นี้เองทำให้เทพีเอเธน่าโกรธมาก 
ถึงกับสาปเธอให้มีหน้าตาที่อัปลักษณ์ และมีงูบนศรีษะ   (ซึ่งจริงๆเทพีเอเธน่าก็ไม่ค่อยจะชอบ
เธออยู่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว)  

          ทำให้เมดูซ่าอับอายและโกรธมาก  ( เป็นใครก็คงจะ อายและโกรธนะ ถูกข่มขืนไม่พอ
ยังกลายเป็นคนที่มีหน้าตาอัปลักษณ์อีก ฆ่ากันให้ตายเลยดีกว่ามั้ย !!!  )  ด้วยความโกรธนี้
เองที่กลายเป็นพลังให้เธอดังนั้นเมื่อใครก็ตามที่จ้องมองเธอ จึงกลายเป็นคำสาปให้กลายเป็นหิน

           ตำนานนี้เราว่าน่าสะเทือนใจนะ จากเด็กสาวที่งดงาม บริสุทธิ์ผุดผ่องต้องกลายเป็น
ปีศาจหน้าตาอัปลักษ์ และร้ายกาจเป็นอันดับต้นๆ ของตำนานกรีกเลยทีเดียว