วันจันทร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2556

หอคอยกาลาตา (GALATA TOWER)




            หอคอยกาลาตาร์ สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1348 สร้างขึ้นในยุคไบเซนไทน์ มีความสูง 66.9 เมตร
 เส้นผ่าศูนย์กลาง16.45 เมตร   หลังคาเป็นรูปทรงกรวย และก็ได้มีการปรับเปลี่ยนบ้างในช่วงที่บูรณะในภายหลัง  ซึงในขณะนั้นจัดว่าเป็นหอคอยที่มีความสูงที่สุดในเมือง( สูงมากขนาดว่าวิศวกรชาวออโตมัน
ได้ใช้เครื่องร่อนไปไกลถึง 3 กม. ข้ามช่องแคบบอสฟอรัส ในปี  1633) โดยจุดประสงค์ในการสร้าง
หอคอยแห่งนี้ก็เพื่อใช้สังเกตการณ์



ที่มาของภาพ  http://www.planetware.com/map/galata-tower-map-tr-tr16.htm

          ในปี ค.ศ. 1453 ฝ่ายออโตมันยึดครองเมืองนี้ ได้เปลี่ยนชื่อจาก "กรุงคอนสแตนติโนเปิล" เป็น "อิสตันบูล" มาจนถึงปัจจุบัน  และในทางประวัติศาสตร์ยังได้ถือว่าการสิ้นสุดของจักรวรรดิไบแซนไทน์ เป็นจุดสิ้นสุดยุคกลางในยุโรปอีกด้วย   ซึ่งทางฝ่ายออโตมันก็ได้ใช้หอคอยแห่งนี้เพื่อสังเกตุการณ์ในเวลาที่เกิดไฟไหม้ขึ้น   ในปี ค.ศ.1794 สมัย Sultan Selim III หลังคาของอาคารที่ทำจากตะกั่ว กับไม้ และบันไดได้รับความเสียหายและเกิดไฟไหม้อีกหลายครังทำให้หลังคาเสียหายมาก ก็มีการบูรณะ
ซ่อมแซมกันมาบ้าง ภายหลังจากที่ได้เปลี่ยนมาเป็นสาธารณรัฐตุรกี,  ในปี ค.ศ 1960 ได้บูรณะคร้งใหญ่ โดยเปลี่ยนโครงภายสร้างภายในเป็นคอนกรึตมาแทนที่ไม้  และก็เปิดบริการให้ประชาชนเข้าไปชม
        
       ปัจจุบัน สามารถเข้าไปเยี่ยมชมได้ทุกวันตั้งแต่ 9.00 - 19.00 โดย ซื้อตั๋วก่อนเข้าชม ( ไม่รู้ราคานะคะ ตอนที่ไปคนเยอะมาก เลยไม่ได้รอชม )   หอคอยนี้สามารถมองเห็นได้กว้าง จัดว่าเป็นจุดชมวิวที่ดีทีสุดเลยทีเดียว  ภายในหอคอยจะมีลิฟท์บริการ หรือจะเลือก เดินขึ้นบันได ( หลายร้อยขั้น )   นอกจากนี้ภายในยังร้านอาหาร และเครื่องดืมไว้บริการ ที่ชั้นบนสุด

แหล่งที่มาของภาพ http://www.galatatower.net

ภาพประกอบจากอินเตอร์เนท
ภาพประกอบจากอินเตอร์เนท

แม้แต่นกก็ยังมาชมวิวรอบๆ อิสตันบู

    ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ท





วันอาทิตย์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2556

อุโมงเก็บน้ำเยเรบาทัน ( Yerebatan Sarnici )


ช่องจำหน่ายตั๋วจะอยู่ทางด้านขวามือเมื่อคุณเดินเข้าไป 
ซึ่งจุดจำหนายเดียวกันทั้งนักท่องเที่ยวและคนตุรกี

ค่าเข้าชม สำหรับนักท่องเที่ยว  ราคา 10TL
ค่าเช้าชม สำหรับคนตุรกี   ราคา 5 TL  
( บัตรสีฟ้าที่ซื้อในราคา 30 TL  ไม่สามารถใช้ร่วมรายการได้) 

ถูกสร้างขึ้นในสมัยจักรพรรดิ์จัสติเนียน ปี ค.ศ 532    เพือเก็บน้ำสำรองในยามที่
ถูกข้าศึกปิดล้อมขนาดของมัน ก็ใหญ่โตเชียวละ เพราะสามารถจุน้ำได้
ถึง  80000 ลบ.ม    ขนาด กว้าง 64.6  x ยาว  138 เมตร   มีเสาจำนวน 336 ต้น
แบ่งออกเป็น 12 แถว   แถวละ 28 ต้นความสูงของเสายาว 9 เมตร 

ทำภาพมาประกอบให้ดูการจัดวางเรียงเสา


                ภาพถ่ายภายใน ซึ่งข้างในจะมืดๆ อากาศชื้นๆ หน่อย ถ้าเป็นหน้าหนาว
จะหนาวมาก  แต่ช่วงที่ไปก็หนาวพอสมควร เสาแต่ละต้น เค้าจะมีการจัดแสงไฟ
ภายใน ( ซึ่งนักท่องเที่ยวก็ได้แสงนี้แหละ ที่ทำให้มองเห็นทาง )  หลังคามีลักษณะ
โค้งมนเป็นรูปโดม


                  ที่นี่จะใช้เก็บน้ำที่ผ่านมาตามท่อ โดยลำเลียงน้ำจากแหล่งน้ำที่ห่างออกไป ใก้ลกับทะเลดำ
ถูกสร้างโดยแรงงาน จากทาสจำนวน 7000 คน  ( เยอะนะถ้าเป็นสมัยนี้จ่ายค่าแรงเป็นลมเลยDead)
สำหรับคนที่เคยส่งสัยอย่างเราว่าทำไม เสามันไม่เหมือนกันซะทีเดียว มีแปลกแตกต่าง
ออกไปบ้าง ต้องขอบอกว่าบางเสา ก็นำมาจากอาคารที่อื่นซึ่งพังแล้วเค้าก็เก็บมาทำเป็นเสา
มันก็เลยแตกต่างกันนั่นเอง ( คำถามคือทำไมเค้าจะต้องรีบสร้างขนาดนั้น ไม่ทำเสาใหม่ 
ว่าแล้วก็สงสัยต่อไป


"Peacock-Eyed" เสาตานกยูง  

เสานี้ก็มีคนให้ความสนใจมาจับ มาดู ถ่ายรูปเป็นจำนวนมาก  

       หลังจากที่อาณาจักรออโตมันเข้ามาปกครอง ก็ทำให้ที่นี้ไม่ได้ใช้งานต่อและปิดร้าง

(ความเห็นของเรา เนื่องจากว่าชาวอาณาจักรออโตมันเป็นชาวทะเลทราย  ซี่งเร่รอนไป
โน่นนี่ เค้าถึงไม่ค่อยคิดเรื่องการจัดการน้ำแบบชาวโรมัน เพราะเค้าก็มีวิธีการในแบบที่
เหมาะกับการเดินทางของเค้า ซึ่งต่างชาวโรมัน ที่อ่านเจอเค้ามีชื่อเสียงมากเกียวกับ
ระบบการจัดการน้ำ  ไม่ว่าจะเป็นการสร้างท่อลำเลียงจากแหล่งน้ำจืดและการสร้างที่เก็บน้ำ 
ก็อย่างที่เราเห็นที่นี่มันใหญ๋โตจริงๆ  )

         ศ.ค. 1545  ชาวฝรั่งเศส ได้ค้นพบอุโมงค์นี้  จึงได้ใช้ที่นี้อีกครั้งเพื่อเก็บน้ำสำหรับใช้
ที่พระราชวังทอปกาปิในปี ค.ศ. 1985  ได้ทำความสะอาดครั้งใหญ่ และเปิดให้ผู้ชมเข้าชม 
ครั้งแรกในวันที่ 9 กันยายน ปี ค.ศ.1987  (น่าจะทำความสะอาดใหญจริง 2 เกือบ 2 ปี เลยทีเดียว)

 เนื่องจากว่าเป็นที่เก็บน้ำอยุ่ใต้พื้นดิน ก็มีบ้างที่จะมีน้ำหยดมาโดนนักท่องเทียว 
ประกอบกับที่มืด คาดว่าถ้าไม่มีที่บังอันนี้นักท่องเที่ยว คงลื่นหน้าคมำ กันหลายคนอยู่นะ

           คำพูดที่ว่า ในน้ำมีปลา  ในนามีข้าว สำหรับที่นี้  เมื่อมีน้ำก็ย่อมมีปลาเช่นกัน   
ว่ายกันตัวอ้วนเลย น่ากิน จริงๆปลาก็มีหลายพันธ์อยู่  ( แต่อย่าให้บอกว่าพันธ์
ไหนเพราะว่าไม่สันทัดเรืองนี้จริงๆ  แต่เห็นที่รู้จักก็มีปลาคราฟ ปลาเงิน ปลาทอง) 
ว่ายกันสบายใจ ที่เห็นบางคนเค้าก็มีโยนเหรียญลงไปด้วย  (ก่อนกลับว่าจะลงไป
งมเหรียญสักหน่อย )  สำหรับตรงนี้ไม่กล้าใช้แฟลตเวลาถ่ายปลาเพราะว่า กลัวมัน
จะกระทบกับเค้าเพราะอยู่ที่มืดๆ แบบนี้ เลยได้ มาสลัวๆ หน่อยนะคะ  


แต๊น แต๊นนนน แต๊นนนนนน และในที่สุด ก็ถือ นางเอก ของที่นี้ ซึ่งทุกคนมุงดู
และให้ความสนใจขนาดที่ว่า ถ้าคุณถ่ายรูปต้องรีบถ่ายและรีบออกมิฉนั้น อาจจะเหลือบ
ไปเห็นสายตาหลายคุ่มองดูด้วยความไม่พอใจ (  ต้องแบ่งๆ กันถ่ายนะค่ะ)

คือเสาที่มีหัวเมดูซา  สองเสา มีทั้งเสาที่เป็นแบบตะแคง 
และเสาหัวกลับ  ที่เค้าสันนิฐานกัน ที่ต้องทำแบบนี้เพราะ ตามตำนาน กล่าวว่าเมื่อใครก็ตามมอง
ตาเมดูซาก็จะกลายเป็นหิน ( ไม่ต้องทำรูปปัันหลังตายเลยเพราะกลายเป็นหิน ) 







Medusa


    เมดูซ่า เมื่อใครนึกถึงชื่อนี้ ก็ต้องนึกถึงผู้หญิงที่มีงูอยู่บนหัวเต็มไปหมด โหดร้าย
แต่ตามตำนาน เค้าว่า เมดูซ่า เป็นหญิงสาวที่หน้าตางดงามมาก เธอมีพี่น้องสามคน
สามพี่น้องตระกูลกอร์กอน โดยเธอเป็นคนสุดท้อง
     วันหนึ่งเธอได้ไปยังวิหารของเอเธน่า   และด้วยความสวยของเธอนี้เอง  ทำให้เธอได้ถูก
เทพโพเซดอน( เทพแห่งท้องทะเล ) ข่มขื่นในวิหาร เพราะต้องการครอบครองนางให้เป็นของตน
 ( ความสวยบางทีก็เป็นภัยกับตัวเองเหมือนกัน  )  เหตุการณ์นี้เองทำให้เทพีเอเธน่าโกรธมาก 
ถึงกับสาปเธอให้มีหน้าตาที่อัปลักษณ์ และมีงูบนศรีษะ   (ซึ่งจริงๆเทพีเอเธน่าก็ไม่ค่อยจะชอบ
เธออยู่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว)  

          ทำให้เมดูซ่าอับอายและโกรธมาก  ( เป็นใครก็คงจะ อายและโกรธนะ ถูกข่มขืนไม่พอ
ยังกลายเป็นคนที่มีหน้าตาอัปลักษณ์อีก ฆ่ากันให้ตายเลยดีกว่ามั้ย !!!  )  ด้วยความโกรธนี้
เองที่กลายเป็นพลังให้เธอดังนั้นเมื่อใครก็ตามที่จ้องมองเธอ จึงกลายเป็นคำสาปให้กลายเป็นหิน

           ตำนานนี้เราว่าน่าสะเทือนใจนะ จากเด็กสาวที่งดงาม บริสุทธิ์ผุดผ่องต้องกลายเป็น
ปีศาจหน้าตาอัปลักษ์ และร้ายกาจเป็นอันดับต้นๆ ของตำนานกรีกเลยทีเดียว  



วันเสาร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2556

ATATURK  ARBORETUMU


ตำแหน่งที่ตั้ง



                เป็นสถานที่คล้ายกับพิพิทธ์ภัณท์ต้นไม้ที่เค้าปล่อยให้โตในธรรมชาติ 
 สร้างขึ้นในปี 1949  โดยจะต้องเสียค่าบัตรเข้าชมด้วยซึงราคา 10 TL 
 เปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 09.00 - 17.00   

              ภายในนี้จะมีพันธ์ไม้ จากทางแถบเอเชียบ้านเราด้วย  ซึ่งจะมีป้ายบอก
รายละเอียดและแหล่งที่มาที่ต้นไม้   คนไปเดินชมกันส่วนมากจะเป็นครอบครัว 
นักศึกษา หรือ คนที่เค้าชอบมาถ่ายรูป   พื้นที่กว้างมาก เรียกว่าเดินจนเหนื่อยกัน
เลยที่เดียวถ้าจะดูให้ครบ  ส่วนตัวแล้วเดินไม่ไหวเพราะชอบถ่ายรูป ( แต่ไม่ได้
เป็นที่ถ่ายรูปแล้วออกมาดีนะ ) เลยทำให้ใช้เวลานานกว่าปกติ  วันที่ไปก็มี
คนมาถ่ายรูป prewedding   เนื่องจากว่า สถานที่นี้ต้องบอกได้เลย
สำหรับคนรักธรรมชาติ สำหรับคู่รัก ก็เหมาะมาก เดินกันไปคุยกันไปในบรรยากาศ 
สบายๆ ใก้ลชิดธรรมชาติจริง

ป้ายหน้าทางเข้า 













วันศุกร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2556


Maiden's Tower / Leander's Tower
หรือที่คนตุรกีจะรู้จักกันนาม Kız Kulesi




ตำแหน่งที่ตั้ง 





ประวัติ  




                                   Alexios I Komnenos

            หอคอยแห่งนี้ถูกสร้างในสมัยจักรพรรดิอเล็กซิออสที่ 1 โคมเนนอส (Alexios I Komnenos)
ซึ่งจักรพรรดิ์องค์นี้ก็มีส่วนสำคัญในการผลักดันให้เกิดสงครามครูเสด( สงครามศาสนาระหว่าง
ศาสนายูดาย ศาสนาคริสต์และศาสนาอิสลาม ) เพราะสมัยนั้น อสิลามได้มีการแผ่ขยายอาณาจักร
มากขึ้นจนขยายเข้าไปทางกรุงคอนสแตนติโนเปิ้ล  เป็นผลให้พระองค์ต้องทำการขอ
ความช่วยเหลือไปยังพระสันตะปาปา เพื่อชวยกันปราบปราม เซลจุคตุรกี (Seljuk Turks)
โดยตลอดระยะเวลาก็มีการรบต่อสู้กัน หอคอยแห่งนี้อาจจะถูกถูกสร้างเพื่อเป็นสถานี
ของกองทัพเรือ บนพื้นที่เกาะเล็กๆ หน้าไครโซโพริส  (Chrysopolis ) ปัจจุบ้นคือ  Üsküdar

           หลังจากที่โดยฝ่ายออโตมันตีแตก สลุตาน  ได้ใช้หอแห่งนี้เป็นนาฬิกา
ปี ค.ศ 1509 เกิดแผ่นดินไหว และในปี ค.ศ 1721  ได้ถูกเผาทำให้ได้รับความ
เสียหายมาก  หลังจากนั้นก็ได้ถูกใช้ทำเป็นประภาคาร  ต่อมาในปี ค.ศ 1763
มันได้รับการสร้างใหม่โดยใช้หิน  และก็มีการบูรณะซ่อมแซมกันหลายครั้ง
เนื่องจากเกิดแผ่นดินไหว

           ปัจจุบันหอคอยแห่งนี้เป็น ร้านอาหาร จัดงานนิทัศการ  งานแต่งงาน
(หลังจากที่เห็นเรืองๆ ร้าย ผ่านร้อน ผ่านหน้าว มาตลอดเป็นระยะพันปี หอคอย
แห่งนี้ก็ได้เห็นรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ที่มีความสุขของผู้คนที่ได้เข้าไปเยี่ยมชม )


ภาพภายในหอคอย
แหล่งที่มา  http://www.kizkulesi.com.tr/
















เรื่องเล่าเคล้าน้ำตา 


ที่มาของภาพ ประกอบ  http://www.kizkulesi.com.tr


Maiden's Tower

        มีตำนานเกี่ยวกับเรื่องหอคอยแห่งนี้มากมาย แต่สำหรับตุรกี ก็คือตำนานนี้
กล่าวกันว่าในอดีตสุลตาน ได้มีพระธิดาอยู่องค์หนึ่ง ซึ่งโหรได้ทำนายว่า
พระธิดาองค์นี้จะถูกงูเห่ากัดเมื่อเธอครบอายุ 18 ปี ( เอ๊ะ คุ้นๆเหมือนนิทานเรื่อง
เจ้าหญิงนิทรา )  ความเลยเข้า สุลตาน คิดไม่ตกทำไงดี หันซ้าย แลขวา
แล้วนึกได้  ว่าควรจะนำพระธิดาลอยแพซะ 55555  ไม่ใช่ ลูกสาวสุดที่รักทำงั้นได้ไง
สุลตานนึกได้ว่ามีหอคอยกลางน้ำล้อมรอบอยู่  ดังนั้น สุลตานจึงได้นำพระธิดา
มาไว้ยังหอคอยแห่งนี้  ( อืม  ดูจากสภาพโดยรอบก็น่าจะปลอดภัย
งูที่ไหนจะว่ายน้ำข้ามมาไกลขนาดนี้   )  ซึ่งที่นี่จะไม่มีใครสามารถเข้าพบ
พระธิดาได้ นอกจากสุลตานเพียงคนเดียว


         เมื่อถึงวันเกิดของเจ้าหญิง  สุลตานได้นำผลไม้สุดแสนจะพิเศษ
สำหรับวันเกิดของเธอใส่ตระกร้า และดีใจที่วันนี้จะเป็นวันที่เธอรอด
ปลอดภัยจากคำทำนาย  เมื่อสุลตานมาถึงและมอบของขวัญชิ้นพิเศษ
นี้ให้เธอเธอได้เปิดมันออกมา  แต่ใครเลยจะคาดคิด ว่าทันใดนั่นเอง
งูเห่าที่ได้แอบซ่อนตัวอยู่ในตระกร้า ได้กัดเจ้าหญิง  และสิ้นใจตายใน
อ้อมกอดของสุลตานนั่นเอง  (  ทำไมไม่ทำเรื่องเล่าต่อ ว่ามีเจ้าชายมา
จุมพิตแล้วเจ้าหญิงก็ฟื้น และทั้งคู่ก็ต่างครองรักกัน ณ หอคอยแห่งนี้
จวบจนทั้งคู่ตายจากกัน )



ที่มาของภาพ ประกอบ  http://www.kizkulesi.com.tr


Leander's Tower

              ตำนานนี้ กลาวว่ามีหญิงสาวนามว่า HERO อาศัยอยู่ที่หอคอยนี้
และชายหนุม นามว่า เลียนเดอร์ Leander จากอบีดอสซึ่งอยุ่อีกฝาก
หนึ่งของช่องแคบ ได้ตกหลุมรักเธอ เค้าว่ายน้ำข้ามฝั่งเพื่อมาหาเธอทุกคืน
โดยเธอจะจุดไฟไว้ซึ่งนำทางเข้าให้ว่ายข้ามฝั่งมาหาเธอ มันเป็นกิจวัตรประจำวัน
ของฤดูร้อนที่อบอุ่นทั้งคู่ได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกันที่หอคอย
             เมื่อเข้าฤดูหนาว ในคืนหนึ่ง มีพายุ คลื่นลมแรงจนเค้าไม่สามารถ
มองเห็นแสงไฟที่นำทางของเธอได้ ทำให้เค้าเกิดหลงทาง  ท้ายที่สุด
เมื่อเค้าหมดกำลังที่จะว่ายต่อ  จึงได้จมหายในทะเลและจากไปตลอดกาล
เมื่อเธอรู้เรื่องนี้สร้างความเศร้าโศก เสียใจให้แก่เธอมาก
เธอจึงกระโดดลงทะเลจากไปตลอดการเช่นเดียวกัน
(จะเศร้ากันไปไหน แต่ละเรื่อง ผ้าเช็ดหน้าจะไม่พอซับน้ำตา อยู่แล้ว)