ช่องจำหน่ายตั๋วจะอยู่ทางด้านขวามือเมื่อคุณเดินเข้าไป
ซึ่งจุดจำหนายเดียวกันทั้งนักท่องเที่ยวและคนตุรกี
ค่าเข้าชม สำหรับนักท่องเที่ยว ราคา 10TL
ค่าเช้าชม สำหรับคนตุรกี ราคา 5 TL
( บัตรสีฟ้าที่ซื้อในราคา 30 TL ไม่สามารถใช้ร่วมรายการได้)
ถูกสร้างขึ้นในสมัยจักรพรรดิ์จัสติเนียน ปี ค.ศ 532 เพือเก็บน้ำสำรองในยามที่
ถูกข้าศึกปิดล้อมขนาดของมัน ก็ใหญ่โตเชียวละ เพราะสามารถจุน้ำได้
ถึง 80000 ลบ.ม ขนาด กว้าง 64.6 x ยาว 138 เมตร มีเสาจำนวน 336 ต้น
แบ่งออกเป็น 12 แถว แถวละ 28 ต้นความสูงของเสายาว 9 เมตร
ทำภาพมาประกอบให้ดูการจัดวางเรียงเสา
ภาพถ่ายภายใน ซึ่งข้างในจะมืดๆ อากาศชื้นๆ หน่อย ถ้าเป็นหน้าหนาว
จะหนาวมาก แต่ช่วงที่ไปก็หนาวพอสมควร เสาแต่ละต้น เค้าจะมีการจัดแสงไฟ
ภายใน ( ซึ่งนักท่องเที่ยวก็ได้แสงนี้แหละ ที่ทำให้มองเห็นทาง ) หลังคามีลักษณะ
โค้งมนเป็นรูปโดม
จะหนาวมาก แต่ช่วงที่ไปก็หนาวพอสมควร เสาแต่ละต้น เค้าจะมีการจัดแสงไฟ
ภายใน ( ซึ่งนักท่องเที่ยวก็ได้แสงนี้แหละ ที่ทำให้มองเห็นทาง ) หลังคามีลักษณะ
โค้งมนเป็นรูปโดม
ที่นี่จะใช้เก็บน้ำที่ผ่านมาตามท่อ โดยลำเลียงน้ำจากแหล่งน้ำที่ห่างออกไป ใก้ลกับทะเลดำ
ถูกสร้างโดยแรงงาน จากทาสจำนวน 7000 คน ( เยอะนะถ้าเป็นสมัยนี้จ่ายค่าแรงเป็นลมเลยDead)
สำหรับคนที่เคยส่งสัยอย่างเราว่าทำไม เสามันไม่เหมือนกันซะทีเดียว มีแปลกแตกต่าง
ออกไปบ้าง ต้องขอบอกว่าบางเสา ก็นำมาจากอาคารที่อื่นซึ่งพังแล้วเค้าก็เก็บมาทำเป็นเสา
มันก็เลยแตกต่างกันนั่นเอง ( คำถามคือทำไมเค้าจะต้องรีบสร้างขนาดนั้น ไม่ทำเสาใหม่
ว่าแล้วก็สงสัยต่อไป )
"Peacock-Eyed" เสาตานกยูง
เสานี้ก็มีคนให้ความสนใจมาจับ มาดู ถ่ายรูปเป็นจำนวนมาก
หลังจากที่อาณาจักรออโตมันเข้ามาปกครอง ก็ทำให้ที่นี้ไม่ได้ใช้งานต่อและปิดร้าง
(ความเห็นของเรา เนื่องจากว่าชาวอาณาจักรออโตมันเป็นชาวทะเลทราย ซี่งเร่รอนไป
โน่นนี่ เค้าถึงไม่ค่อยคิดเรื่องการจัดการน้ำแบบชาวโรมัน เพราะเค้าก็มีวิธีการในแบบที่
เหมาะกับการเดินทางของเค้า ซึ่งต่างชาวโรมัน ที่อ่านเจอเค้ามีชื่อเสียงมากเกียวกับ
ระบบการจัดการน้ำ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างท่อลำเลียงจากแหล่งน้ำจืดและการสร้างที่เก็บน้ำ
ก็อย่างที่เราเห็นที่นี่มันใหญ๋โตจริงๆ )
ศ.ค. 1545 ชาวฝรั่งเศส ได้ค้นพบอุโมงค์นี้ จึงได้ใช้ที่นี้อีกครั้งเพื่อเก็บน้ำสำหรับใช้
ที่พระราชวังทอปกาปิในปี ค.ศ. 1985 ได้ทำความสะอาดครั้งใหญ่ และเปิดให้ผู้ชมเข้าชม
ครั้งแรกในวันที่ 9 กันยายน ปี ค.ศ.1987 (น่าจะทำความสะอาดใหญจริง 2 เกือบ 2 ปี เลยทีเดียว)
เนื่องจากว่าเป็นที่เก็บน้ำอยุ่ใต้พื้นดิน ก็มีบ้างที่จะมีน้ำหยดมาโดนนักท่องเทียว
ประกอบกับที่มืด คาดว่าถ้าไม่มีที่บังอันนี้นักท่องเที่ยว คงลื่นหน้าคมำ กันหลายคนอยู่นะ
คำพูดที่ว่า ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว สำหรับที่นี้ เมื่อมีน้ำก็ย่อมมีปลาเช่นกัน
ว่ายกันตัวอ้วนเลย น่ากิน จริงๆปลาก็มีหลายพันธ์อยู่ ( แต่อย่าให้บอกว่าพันธ์
ไหนเพราะว่าไม่สันทัดเรืองนี้จริงๆ แต่เห็นที่รู้จักก็มีปลาคราฟ ปลาเงิน ปลาทอง)
ว่ายกันสบายใจ ที่เห็นบางคนเค้าก็มีโยนเหรียญลงไปด้วย (ก่อนกลับว่าจะลงไป
งมเหรียญสักหน่อย ) สำหรับตรงนี้ไม่กล้าใช้แฟลตเวลาถ่ายปลาเพราะว่า กลัวมัน
จะกระทบกับเค้าเพราะอยู่ที่มืดๆ แบบนี้ เลยได้ มาสลัวๆ หน่อยนะคะ
แต๊น แต๊นนนน แต๊นนนนนน และในที่สุด ก็ถือ นางเอก ของที่นี้ ซึ่งทุกคนมุงดู
และให้ความสนใจขนาดที่ว่า ถ้าคุณถ่ายรูปต้องรีบถ่ายและรีบออกมิฉนั้น อาจจะเหลือบ
ไปเห็นสายตาหลายคุ่มองดูด้วยความไม่พอใจ ( ต้องแบ่งๆ กันถ่ายนะค่ะ)
คือเสาที่มีหัวเมดูซา สองเสา มีทั้งเสาที่เป็นแบบตะแคง
และเสาหัวกลับ ที่เค้าสันนิฐานกัน ที่ต้องทำแบบนี้เพราะ ตามตำนาน กล่าวว่าเมื่อใครก็ตามมอง
ตาเมดูซาก็จะกลายเป็นหิน ( ไม่ต้องทำรูปปัันหลังตายเลยเพราะกลายเป็นหิน )
Medusa
เมดูซ่า เมื่อใครนึกถึงชื่อนี้ ก็ต้องนึกถึงผู้หญิงที่มีงูอยู่บนหัวเต็มไปหมด โหดร้าย
แต่ตามตำนาน เค้าว่า เมดูซ่า เป็นหญิงสาวที่หน้าตางดงามมาก เธอมีพี่น้องสามคน
สามพี่น้องตระกูลกอร์กอน โดยเธอเป็นคนสุดท้อง
วันหนึ่งเธอได้ไปยังวิหารของเอเธน่า และด้วยความสวยของเธอนี้เอง ทำให้เธอได้ถูก
เทพโพเซดอน( เทพแห่งท้องทะเล ) ข่มขื่นในวิหาร เพราะต้องการครอบครองนางให้เป็นของตน
( ความสวยบางทีก็เป็นภัยกับตัวเองเหมือนกัน ) เหตุการณ์นี้เองทำให้เทพีเอเธน่าโกรธมาก
ถึงกับสาปเธอให้มีหน้าตาที่อัปลักษณ์ และมีงูบนศรีษะ (ซึ่งจริงๆเทพีเอเธน่าก็ไม่ค่อยจะชอบ
เธออยู่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว)
ทำให้เมดูซ่าอับอายและโกรธมาก ( เป็นใครก็คงจะ อายและโกรธนะ ถูกข่มขืนไม่พอ
ยังกลายเป็นคนที่มีหน้าตาอัปลักษณ์อีก ฆ่ากันให้ตายเลยดีกว่ามั้ย !!! ) ด้วยความโกรธนี้
เองที่กลายเป็นพลังให้เธอดังนั้นเมื่อใครก็ตามที่จ้องมองเธอ จึงกลายเป็นคำสาปให้กลายเป็นหิน
ตำนานนี้เราว่าน่าสะเทือนใจนะ จากเด็กสาวที่งดงาม บริสุทธิ์ผุดผ่องต้องกลายเป็น
ปีศาจหน้าตาอัปลักษ์ และร้ายกาจเป็นอันดับต้นๆ ของตำนานกรีกเลยทีเดียว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น