วันอาทิตย์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2556

อุโมงเก็บน้ำเยเรบาทัน ( Yerebatan Sarnici )


ช่องจำหน่ายตั๋วจะอยู่ทางด้านขวามือเมื่อคุณเดินเข้าไป 
ซึ่งจุดจำหนายเดียวกันทั้งนักท่องเที่ยวและคนตุรกี

ค่าเข้าชม สำหรับนักท่องเที่ยว  ราคา 10TL
ค่าเช้าชม สำหรับคนตุรกี   ราคา 5 TL  
( บัตรสีฟ้าที่ซื้อในราคา 30 TL  ไม่สามารถใช้ร่วมรายการได้) 

ถูกสร้างขึ้นในสมัยจักรพรรดิ์จัสติเนียน ปี ค.ศ 532    เพือเก็บน้ำสำรองในยามที่
ถูกข้าศึกปิดล้อมขนาดของมัน ก็ใหญ่โตเชียวละ เพราะสามารถจุน้ำได้
ถึง  80000 ลบ.ม    ขนาด กว้าง 64.6  x ยาว  138 เมตร   มีเสาจำนวน 336 ต้น
แบ่งออกเป็น 12 แถว   แถวละ 28 ต้นความสูงของเสายาว 9 เมตร 

ทำภาพมาประกอบให้ดูการจัดวางเรียงเสา


                ภาพถ่ายภายใน ซึ่งข้างในจะมืดๆ อากาศชื้นๆ หน่อย ถ้าเป็นหน้าหนาว
จะหนาวมาก  แต่ช่วงที่ไปก็หนาวพอสมควร เสาแต่ละต้น เค้าจะมีการจัดแสงไฟ
ภายใน ( ซึ่งนักท่องเที่ยวก็ได้แสงนี้แหละ ที่ทำให้มองเห็นทาง )  หลังคามีลักษณะ
โค้งมนเป็นรูปโดม


                  ที่นี่จะใช้เก็บน้ำที่ผ่านมาตามท่อ โดยลำเลียงน้ำจากแหล่งน้ำที่ห่างออกไป ใก้ลกับทะเลดำ
ถูกสร้างโดยแรงงาน จากทาสจำนวน 7000 คน  ( เยอะนะถ้าเป็นสมัยนี้จ่ายค่าแรงเป็นลมเลยDead)
สำหรับคนที่เคยส่งสัยอย่างเราว่าทำไม เสามันไม่เหมือนกันซะทีเดียว มีแปลกแตกต่าง
ออกไปบ้าง ต้องขอบอกว่าบางเสา ก็นำมาจากอาคารที่อื่นซึ่งพังแล้วเค้าก็เก็บมาทำเป็นเสา
มันก็เลยแตกต่างกันนั่นเอง ( คำถามคือทำไมเค้าจะต้องรีบสร้างขนาดนั้น ไม่ทำเสาใหม่ 
ว่าแล้วก็สงสัยต่อไป


"Peacock-Eyed" เสาตานกยูง  

เสานี้ก็มีคนให้ความสนใจมาจับ มาดู ถ่ายรูปเป็นจำนวนมาก  

       หลังจากที่อาณาจักรออโตมันเข้ามาปกครอง ก็ทำให้ที่นี้ไม่ได้ใช้งานต่อและปิดร้าง

(ความเห็นของเรา เนื่องจากว่าชาวอาณาจักรออโตมันเป็นชาวทะเลทราย  ซี่งเร่รอนไป
โน่นนี่ เค้าถึงไม่ค่อยคิดเรื่องการจัดการน้ำแบบชาวโรมัน เพราะเค้าก็มีวิธีการในแบบที่
เหมาะกับการเดินทางของเค้า ซึ่งต่างชาวโรมัน ที่อ่านเจอเค้ามีชื่อเสียงมากเกียวกับ
ระบบการจัดการน้ำ  ไม่ว่าจะเป็นการสร้างท่อลำเลียงจากแหล่งน้ำจืดและการสร้างที่เก็บน้ำ 
ก็อย่างที่เราเห็นที่นี่มันใหญ๋โตจริงๆ  )

         ศ.ค. 1545  ชาวฝรั่งเศส ได้ค้นพบอุโมงค์นี้  จึงได้ใช้ที่นี้อีกครั้งเพื่อเก็บน้ำสำหรับใช้
ที่พระราชวังทอปกาปิในปี ค.ศ. 1985  ได้ทำความสะอาดครั้งใหญ่ และเปิดให้ผู้ชมเข้าชม 
ครั้งแรกในวันที่ 9 กันยายน ปี ค.ศ.1987  (น่าจะทำความสะอาดใหญจริง 2 เกือบ 2 ปี เลยทีเดียว)

 เนื่องจากว่าเป็นที่เก็บน้ำอยุ่ใต้พื้นดิน ก็มีบ้างที่จะมีน้ำหยดมาโดนนักท่องเทียว 
ประกอบกับที่มืด คาดว่าถ้าไม่มีที่บังอันนี้นักท่องเที่ยว คงลื่นหน้าคมำ กันหลายคนอยู่นะ

           คำพูดที่ว่า ในน้ำมีปลา  ในนามีข้าว สำหรับที่นี้  เมื่อมีน้ำก็ย่อมมีปลาเช่นกัน   
ว่ายกันตัวอ้วนเลย น่ากิน จริงๆปลาก็มีหลายพันธ์อยู่  ( แต่อย่าให้บอกว่าพันธ์
ไหนเพราะว่าไม่สันทัดเรืองนี้จริงๆ  แต่เห็นที่รู้จักก็มีปลาคราฟ ปลาเงิน ปลาทอง) 
ว่ายกันสบายใจ ที่เห็นบางคนเค้าก็มีโยนเหรียญลงไปด้วย  (ก่อนกลับว่าจะลงไป
งมเหรียญสักหน่อย )  สำหรับตรงนี้ไม่กล้าใช้แฟลตเวลาถ่ายปลาเพราะว่า กลัวมัน
จะกระทบกับเค้าเพราะอยู่ที่มืดๆ แบบนี้ เลยได้ มาสลัวๆ หน่อยนะคะ  


แต๊น แต๊นนนน แต๊นนนนนน และในที่สุด ก็ถือ นางเอก ของที่นี้ ซึ่งทุกคนมุงดู
และให้ความสนใจขนาดที่ว่า ถ้าคุณถ่ายรูปต้องรีบถ่ายและรีบออกมิฉนั้น อาจจะเหลือบ
ไปเห็นสายตาหลายคุ่มองดูด้วยความไม่พอใจ (  ต้องแบ่งๆ กันถ่ายนะค่ะ)

คือเสาที่มีหัวเมดูซา  สองเสา มีทั้งเสาที่เป็นแบบตะแคง 
และเสาหัวกลับ  ที่เค้าสันนิฐานกัน ที่ต้องทำแบบนี้เพราะ ตามตำนาน กล่าวว่าเมื่อใครก็ตามมอง
ตาเมดูซาก็จะกลายเป็นหิน ( ไม่ต้องทำรูปปัันหลังตายเลยเพราะกลายเป็นหิน ) 







Medusa


    เมดูซ่า เมื่อใครนึกถึงชื่อนี้ ก็ต้องนึกถึงผู้หญิงที่มีงูอยู่บนหัวเต็มไปหมด โหดร้าย
แต่ตามตำนาน เค้าว่า เมดูซ่า เป็นหญิงสาวที่หน้าตางดงามมาก เธอมีพี่น้องสามคน
สามพี่น้องตระกูลกอร์กอน โดยเธอเป็นคนสุดท้อง
     วันหนึ่งเธอได้ไปยังวิหารของเอเธน่า   และด้วยความสวยของเธอนี้เอง  ทำให้เธอได้ถูก
เทพโพเซดอน( เทพแห่งท้องทะเล ) ข่มขื่นในวิหาร เพราะต้องการครอบครองนางให้เป็นของตน
 ( ความสวยบางทีก็เป็นภัยกับตัวเองเหมือนกัน  )  เหตุการณ์นี้เองทำให้เทพีเอเธน่าโกรธมาก 
ถึงกับสาปเธอให้มีหน้าตาที่อัปลักษณ์ และมีงูบนศรีษะ   (ซึ่งจริงๆเทพีเอเธน่าก็ไม่ค่อยจะชอบ
เธออยู่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว)  

          ทำให้เมดูซ่าอับอายและโกรธมาก  ( เป็นใครก็คงจะ อายและโกรธนะ ถูกข่มขืนไม่พอ
ยังกลายเป็นคนที่มีหน้าตาอัปลักษณ์อีก ฆ่ากันให้ตายเลยดีกว่ามั้ย !!!  )  ด้วยความโกรธนี้
เองที่กลายเป็นพลังให้เธอดังนั้นเมื่อใครก็ตามที่จ้องมองเธอ จึงกลายเป็นคำสาปให้กลายเป็นหิน

           ตำนานนี้เราว่าน่าสะเทือนใจนะ จากเด็กสาวที่งดงาม บริสุทธิ์ผุดผ่องต้องกลายเป็น
ปีศาจหน้าตาอัปลักษ์ และร้ายกาจเป็นอันดับต้นๆ ของตำนานกรีกเลยทีเดียว  



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น